กฏอัตรา | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในปี ค.ศ. 1850 วิลเฮลมี (Wilhelmy) ได้เสนอกฏอัตราของปฏิกิริยา(rate law) โดยศึกษาปฏิกิริยาการแยกสลายด้วยน้ำ(hydrolysis) ของน้ำตาลซูโครสขณะที่สภาพของสารละลายเป็นกรด ดังสมการ C12H22O11 + H2O ![]() เขาพบว่าเมื่อเวลาผ่านไปอัตราการลดลงของน้ำตาลซูโครสเป็นปฏิภาคโดยตรงกับความเข้มข้นของน้ำตาลซูโครสที่มีอยู่ เขียนเป็นสมการทางคณิตศาสตร์ โดยพิจารณาในรูปของอนุพันธ์ ได้ดังนี้
สมการนี้แสดงให้เห็นว่าอัตราเร็วของปฏิกิริยาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยายกกำลังหนึ่ง เลขยกกำลังนี้เรียกว่า อันดับของปฏิกิริยา(order of reaction) ดังนั้น การศึกษาของวิลเฮลมีจึงเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง แต่มีบางปฏิกิริยาอัตราเร็วของปฏิกิริยาขึ้นกับผลคูณของความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยาทั้งสองชนิด ผู้ศึกษาปฏิกิริยาชนิดนี้ครั้งแรก คือ ฮารคอร์ท(Harcourt) และเอสสัน(Esson) โดยศึกษาปฏิกิริยาออกซิเดชันกรดออกซาลิกด้วยเพอร์แมงกาเนต ดังสมการ 5H2C2O4 - + MnO4 - + 6H+ ![]() ![]() 2NO2 ![]() ![]() A + B + C ![]() ![]() เมื่อ k เป็นค่าคงตัวอัตราเร็วซึ่งขึ้นกับธรรมชาติของตัวทำปฏิกิริยาอุณหภูมิ ฯลฯจากสมการเหล่านี้ จะเห็นว่าอันดับของปฏิกิริยาแตกต่างไปจากสัมประสิทธิ์จำนวนดมลที่ใช้ในสมการ ดังนั้นเราต้องตระหนักเอาไว้ว่า อันดับของปฏิกิริยาไม่ได้มาจากจำนวนโมลของสารในปฏิกิริยา แต่เป็นผลมาจากการทดลองเท่านั้น หน่วยของ k ขึ้นอยู่กับอันดับของปฏิกิริยา สำหรับปฏิกิริยาอันดับหนึ่งมีหน่วยเป็น s-1 ปฏิกิริยาอันดับสอง มีหน่วยเป็น mol-1 dm3s-1 แต่ถ้าปฏิกิริยาเป็นอันดับ n หน่วยคือ (เวลา)-1(ความเข้มข้น)1-n การเขียนกฏอัตราเร็วแบบอนุพันธ์จะขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสารขณะใดขณะหนึ่ง ซึ่งการวัดความเข้มข้นขณะใดขณะหนึ่งให้ได้ค่าเที่ยงตรงนั้นทำได้ยากจึงตองดูทั้งหมด เพราะปฏิกิริยาบางปฏิกิริยาเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ดังนั้นการศึกษาอัตราเร็วของปฏิกิริยาจะทำโดยวัดความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยาหรือผลผลิตที่เวลาต่าง ๆ แล้วนำผลที่ได้มาวิเคราะห์ การทำเช่นนี้เป็นการอินทิเกรตกฏอัตราเร็วแบบอนุพันธ์ จึงเรียกกฏอัตราเร็วใหม่ว่า กฏอัตราเร็วแบบอินทิเกรต ดังนั้นสมการ เขียนในรูปใหม่ได้ ดังนี้ ปฏิกิริยาอันดับศูนย์เมื่อ c เป็นค่าคงตัวของการอินทิเกรต ซึ่งหาได้โดยใช้เงื่อนไขว่า ปฏิกิริยาอันดับศูนย์ เป็นปฏิกิริยาที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่ขึ้นกับความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยา สมการที่ใช้แทน คือ สาร A ![]()
นำสมการที่(1) ไปเขียนกราฟระหว่างความเข้มข้นกับเวลา จะได้กราฟเส้นตรงที่มีความชันเท่ากับ -k0 ดังรูป ![]() เนื่องจากเวลาที่ความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยาลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของความเข้มข้น เริ่มต้นของปฏิกิริยาอันดับต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกัน จึงนำมาใช้ในการบ่งอันดับของปฏิกิริยาได้ เรียกเวลานี้ว่า ครึ่งชีวิตของปฏิกิริยา เขียนแทนด้วย พิจารณาครึ่งชีวิตของปฏิกิริยาอันดับศูนย์![]() จากสมการ(1) จะได้ ![]() ![]() แสดงว่า ครึ่งชีวิตของปฏิกิริยาอันดับศูนย์ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นเริ่มต้นของตัวทำปฏิกิริยา ปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง ปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง เป็นปฏิกิริยาที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นกับความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยาชนิดเดียวยกกำลังหนึ่ง ดังสมการ นำสมการ (2) ไปเขียนกราฟระหว่าง log a กับ t จะได้เส้นตรงมีความชันเท่ากับ ![]()
ปฏิกิริยาอันดับสอง ปฏิกิริยาอันดับสองมี 2 กรณี กรณีแรกเป็นปฏิกิริยาที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นกับความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยาชนิดเดียวยกกำลังสอง ส่วนกรณีสองเป็นปฏิกิริยาที่อัตราการเกิดปฏิกิริยาขึ้นกับความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยาสองชนิดแต่ละชนิดยกกำลังหนึ่ง พิจารณากรณีแรกก่อน ปฏิกิริยาที่ใช้แทน คือ สาร A ![]() ![]() ![]() ![]()
A + B ![]() ![]() เมื่อ a , b เป็นความเข้มข้นเริ่มต้นของสาร A และ B x เป็นความเข้มข้นของสาร A , B ที่หายไป ![]() ![]() พิจารณาครึ่งชีวิตของปฏิกิริยาอันดับสอง จากสมการ(3) ![]() แสดงว่า ครึ่งชีวิตของปฏิกิริยาอันดับสอง เป็นปฏิภาคกลับกับความเข้มข้นเริ่มต้นของตัวทำปฏิกิริยา นอกจากนี้ปฏิกิริยาอันดับสองยังมีแบบพิเศษอีกแบบหนึ่ง คือ ปฏิกิริยาที่เกิดจากตัวทำปฏิกิริยา 2 ชนิด สารชนิดหนึ่งมีความเข้มข้นมากและอีกชนิดหนึ่งมีความเข้มข้นน้อย เมื่อปฏิกิริยาผ่านไปความเข้มข้นของสารที่มีความเข้มข้นมากเปลี่ยนไปน้อยมากเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของสารที่มีความเข้มข้นน้อย จึงถือว่าความเข้มข้นของสารที่มีความเข้มข้นมากมีค่าประมาณคงที่ เพราะฉะนั้นอัตราเร็วของปฏิกิริยาจะขึ้นกับความเข้มข้นของสารที่มีความเข้มข้นน้อยเพียงตัวเดียว จึงจัดเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง เรียกว่า ปฏิกิริยาอันดับหนึ่งเทียม เช่น ปฏิกิริยาการแยกสลายด้วยน้ำของเอทิลแอซีเทต โดยมีกรดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา ดังสมการ CH3COOC2H5 + H2O ![]() ![]() = k' [CH3COOC2H5] C ปฏิกิริยาอันดับสาม![]() ปฏิกิริยาอันดับสามเกิดได้ 3 กรณี คือ ![]() ในที่นี้จะยกมาพิจารณาเพียงชนิดเดียว คือ กรณีแรก
ปฏิกิริยาอันดับ n มีได้ n กรณี ในที่นี้จะยกขึ้นมาพิจารณาเพียงกรณีเดียว คือ ![]() ![]() ![]()
ตัวอย่าง CO(g) + NO2(g) ![]() ผลการทดลอง
ต้องการทราบอันดับของปฏิกิริยาและค่าคงตัวอัตราเร็ว rate = ![]() แทนค่า 0.012 = k[CO]l [0.1]m (1) 0.024 = k[0.2]l [0.1]m (2)
ทำนองเดียวกัน 0.036 = k[0.1]l [0.3]m (3) 0.24 = k[0.1]l [0.2]m (4)
ตัวอย่าง จงแสดงให้เห็นว่าการสลายตัวของแก๊สไนโตรเจนเพนทอกไซด์ สูตร ในภาชนะปิด เป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่งและหาค่าคงตัวอตราเร็วของปฏิกิริยานี้ด้วย เมื่อสัดส่วนความเข้มข้นของแก๊สไนโตรเจนเพนทอกไซด์ที่เวลาใด ๆ ต่อความเข้มข้นเริ่มต้น ณ อุณหภูมิ 318 K ดังตาราง
วิธีทำ เขียนกราฟระหว่างเวลาที่ผ่านไปกับ ![]()
ตย2 การสลายตัวของซัลเฟอริลคลอไรด์ (SO2Cl2 ![]() ตย3 แก๊สไฮโดรเจนไอโอไดด์มีความดันเท่ากับ 100 kPa ที่อุณหภูมิ 700 K แก๊สนี้สลายตัวให้แก๊สไฮโดรเจนและแก๊สไอโอดีน(2HI ตย.4 ปฏิกิริยาสะพอนิฟิเคชันของเอทิลแอซีเทตที่ 303 K ดังสมการ![]() CH3COOC2H5+ NaOH ![]() เมื่อความเข้มข้นเริ่มต้นของตัวทำปฏิกิริยาทั้งสองเท่ากับ 0.05 moldm-3 และที่เวลาต่าง ๆ วัด [ CH3COOC2H5 ] ได้ดังตารางข้างล่าง จงแสดงให้เห็นว่าปฏิกิริยาเป็นปฏิกิริยาอันดับสอง
ปฏิกิริยาที่ผ่านมาพิจารณาเฉพาะปฏิกิริยาที่เกิดทางเดียวและสิ้นสุดในแต่ละปฏิกิริยา ซึ่งปฏิกิริยาบางปฏิกิริยาไม่ได้เกิดขึ้นทางเดียว เช่น ปฏิกิริยาผันกลับได้ ปฏิกิริยาต่อเนื่อง และปฏิกิริยาลูกโซ่ ดังรายละเอียดข้างล่าง ปฏิกิริยาผันกลับได้ ปฏิกิริยาผันกลับได้ หมายถึง ปฏิกิริยาที่มี r ทิศทาง คือ ![]() ![]() ถ้าปฏิกิริยาเข้าสู่สถานะสมดุล ![]() k1[A] = k-1 [A] ![]() ถ้าปฏิกิริยาเข้าสู่สมดุลโดยผ่านสารมัธยันตร์ ต้องเป็นไปตามกฏการทำให้ดุล คือ "เมื่อปฏิกิริยาของระบบเข้าสุ่สมดุล อัตราการเกิดปฏิกิริยาไปข้างหน้าต้องเท่ากับอัตราการเกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ" ซึ่งเขียนเป็นสมการได้ดังนี้ ![]() และ k2[A] = k-2 [C] ; k3 [3] = k-3[B] ; k1[A] = k-1[B] ![]() ปฏิกิริยาต่อเนื่อง ปฏิกิริยาต่อเนื่อง หมายถึง ปฏิกิริยาที่ไม่สิ้นสุดเพียงขั้นตอนเดียว ดังสมการ A ![]() ![]() ปฏิกิริยาแต่ละขั้นเป็นปฏิกิริยาอันดับหนึ่ง และผันกลับไม่ได้ ดังนั้น
การหา[B] จะใช้หลักสถานะคงที่ คือ [B] มีค่าคงที่เกือบคงที่ตลอดเวลา ![]() [B] = ![]() ![]() ![]() ![]() การหาค่าคงตัว C คือ ที่ t = 0 , [C] = 0 ![]() ![]() [C] = ![]() นำความสัมพันธ์ระหว่าง [A] , [B] และ [C] ไปเขียนกราฟ ซึ่ง ![]()
ปฏิกิริยาลูกโซ่ หมายถึง ปฏิกิริยาที่เกิดต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ เช่น H2 + Br2 ![]() Br2 ![]() Br + H2 ![]() H + Br2 ![]() H + HBr ![]() Br + Br ![]() ![]() เมื่อ ![]() ![]() |
การวัดอัตราเร็วของปฏิกิริยา |
การวัดอัตราเร็วของปฏิกิริยา จำเป็นต้องทราบ ความเข้มข้นของตัวทำปฏิกิริยาหรือผลผลิตต่อหน่วยเวลา ซึ่งการหาความเข้มข้นของสารในปฏิกิริยาจะขึ้นกับลักษณะของครึ่งชีวิตของปฏิกิริยา คือ ถ้าปฏิกิริยาเกิดในระบบปิด และมีครึ่งชีวิตอยู่ในช่วง 2-3 วินาทีขึ้นไป จะวัดอัตราเร็วของปฏิกิริยาด้วยวิธีสถิต ถ้าปฏิกิริยามีครึ่งชีวิตสั้นมาก ๆ คือตั้งแต่ 10-11 - 1 วินาที จะวัดอัตราเร็วของปฏิกิริยาด้วยวิธีการไหล วิธีสถิติ มี 2 อย่าง คือ วิธีการทางกายภาพ และวิธีการทางเคมี วิธีทางกายภาพ : ทำโดยวัดสมบัติทางกายภาพต่าง ๆ ต่อหน่วยเวลา เช่น วัดปริมาตรหรือ สีของสารละลายที่เปลี่ยนไปกับเวลา วิธีการทางเคมี : ทำโดยนำตัวทำปฏิกิริยาทั้งหมดมาทำปฏิกิริยากัน เมื่อเวลาผ่านไปการดูดสารขึ้นมาและยุติปฏิกิริยา แล้ววิเคราะห์หาความเข้มข้นของสารอย่างละเอียด |
กลไกของปฏิกิริยา |
กลไกของปฏิกิริยา หมายถึง ลำดับขั้นของปฏิกิริยามูลฐานที่แสดงการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสารทั้งหมด และถือว่าปฏิกิริยาเกิดขึ้นอย่างที่เขียนจริง ๆ ในปฏิกิริยามูลฐานนั้น ๆ ในการศึกษากลไกของปฏิกิริยา ต้องนำผลการทดลองมาประกอบกับหลักการของทฤษฎี คือ นำผลการทดลองมาพิจารณาปฏิกิริยาว่าเป้นปฏิกิริยาอันดับใด และเสนอกลไกที่สอดคล้องกับกฏอัตราพร้อมทั้งต้องติดตามรายละเอียดของปฏิกิริยา เพื่อตรวจสอบสารมัธยันตร์ที่เกิดขึ้นว่าตรงกับกลไกหรือไม่ ถ้าตรงก็แสดงว่ากลไกนั้นถูกต้อง การตรวจสอบสารมัธยันตร์อาจทำโดย - ติดตามไอโซโทปของอะตอมในสเปก - ตรวจสอบทางสเปกโทรสโคปี ถ้าปฏิกิริยาใดตรวจสอบสารมัธยันตร์ไม่ได้ให้ถือว่ากลไกที่มีโมเลกุลาริตีน้อยที่สุด เป็นที่ควรเป็น เนื่องจากปฏิกิริยามูลฐานในกลไกของปฏิกิริยามีอัตราเร็วต่างกัน และจะมีปฏิกิริยาหนึ่งที่ช้าที่สุด ซึ่งความเร็วของปฏิกิริยารวมจะขั้นอยู่กับความเร็วของปฏิกิริยานี้ จึงใช้ปฏิกิริยานี้เป้นตัวกำหนดอัตราเร็วของปฏิกิริยา เรียกว่า ขั้นกำหนดอัตราเร็วของปฏิกิริยา ตย. การหากลไกของปฏิกิริยา การเร่งแอนิลีนด้วยไอออนโบรไมด์ในน้ำ ดังสมการ C6 H5 NH2 + HNO2 + H+ ![]() จากการทดลองได้ r = k [ H+ ] [ HNO2 ] [ Br- ] ( 1 ) สมมุติว่ากลไกของปฏิกิริยา เป็นดังนี้
อัตราเร็วของปฏิกิริยา ได้มาจากอัตราเร็วของปฏิกิริยาที่เกิดช้าที่สุด r = k2 [H2 NO2+ ][ Br- ] ( 2 ) [HNO2+] เป็นความเข้มข้นของสารมัธยันตร์ ซึ่งไม่สะดวกในการคำนวณ ต้องพยายามเปลี่ยนให้อยู่ความเข้มข้นของสารตัวทำปฏิกิริยาหรือผลผลิต ซึ่งมี 2 (1) การประมาณค่าโดยใช้ขั้นสมดุล มีหลักการว่า ในกลไกต้องมีปฏิกิริยามูลฐานอย่างหนึ่งสมการที่เป้นปฏิกิริยาผันกลับได้และเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จากกลไกที่เสนอจะได้ k-1 [H2 NO2+ ] = k1 [H+] [HNO2+ ] [H2 NO2+ ] = ![]() แทน [HNO2+ ] ในสมการ (2) r = k2 K [H+][HNO2 ][ Br- ] = K [H+][HNO2 ][ Br- ] ดังนั้น อัตราเร็วที่ได้เหมือนกับอัตราเร็วที่ได้จากการทดลอง จึงถือว่า การหาความเข้มข้นของสารมัธยันตร์ด้วยวิธีนี้ถูกต้อง (2) การประมาณค่าโดยใช้สถานที่คงที่ : วิธีนี้ถือว่าอัตราเร็วของการเกิดและสลายตัวของสารมัธยันตร์มีค่าคงตัว นั้นคือ
จากกลไกจะได้ [H2 NO2+ ] = k1 [H+] [HNO2 ] - { k-1 [H2 NO2+ ] + k2[H2 NO2+ ][ Br- ] } k-1 [H2 NO2+ ] + k2[H2 NO2+ ][ Br- ] = k1 [H+] [HNO2 ] [H2 NO2+ ] { k-1 + k2 [ Br- ] } = k1 [H+] [HNO2 ] [H2 NO2+ ] = ![]()
r = k2 ![]() = ![]() จากกลไกจะเห็นว่า k-1 >> k2 ![]()
เห็นว่าอัตราเร็วที่ได้นั้นก็เหมือนกับอัตราเร็วที่ได้จากการทดลอง |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น